MOU_๒๑๐๖๒๕_7

iColor จับมือ PHC ผนึกกำลังร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางจากกัญชา กัญชงยื่นจดแจ้งรายแรกของไทย

         บริษัท ไอคัลเลอร์ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและผิวกาย ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในโรงแรมและสปา รวมถึงบรรจุภัณฑ์ต่างๆคุณภาพสูงมาตรฐานระดับสากล ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพรเพลาเพลินเพื่อชุมชน (PHC) ผู้นำด้านการปลูกกัญชาและกัญชงแบบเกษตรมาตรฐานสูงเกรดทางการแพทย์ และ beWiLD Cosmetics แบรนด์เครื่องสำอางระดับเวิลด์คลาส เน้นนวัตกรรมที่ล้ำหน้า คุณภาพมาตรฐานสูง ร่วมพัฒนาวัตถุดิบจากกัญชา กัญชง สู่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยื่นจดแจ้งเป็นรายแรกของไทย ตั้งเป้ามุ่งสู่การแข่งขันในตลาดโลก พร้อมกันนี้ผลิตภัณฑ์ที่ร่วมกันวิจัยพัฒนา คือ beWiLD Cannabis Leaf Powder Facial Mask ได้มีการจดแจ้งผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังดำเนินการจดแจ้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่นกัน

      ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ประกาศปลดล็อคกัญชา กัญชงจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และอนุญาตให้ใช้น้ำมันหรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชงและสารสกัด CBD (Cannabidiol) ในเครื่องสำอางได้นั้น สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าในตลาดเครื่องสำอาง อีกทั้งยังเป็นผลดีของภาคการเกษตรผู้ปลูกกัญชาและกัญชง และเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การแข่งขันในอุตสาหกรรมกัญชา กัญชง ระดับสากลได้ในอีกไม่ช้า

1

นโยบาย บริษัท ปลอดภัย จาก COVID-19

       เราทราบกันดีว่าวิกฤตโคโรน่า (โควิด-19) ได้ส่งผลที่ไม่ดีต่อการใช้ชีวิตของเราทุกคน ทางบริษัทฯ จึงมีนโยบาย บริษัท ปลอดภัย จาก COVID-19

       ทางบริษัทฯ ได้จัดการตรวจหาเชื้อกับทางโรงพยาบาลศิครินทร์ สมุทรปราการ โดยวิธี SWAP Test ให้กับพนักงานทุกท่าน ณ บริษัท ไอคัลเลอร์ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จํากัด เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2564 เวลา 15.00 – 16.00 น. และได้รับการแจ้งผลจากโรงพยาบาล ไม่มีพนักงานท่านใดติดเชื้อ COVID-19

**เราจะข้ามผ่านวิกฤต Covid-19 นี้ไปด้วยกัน ขอให้การ์ดอย่าตก อย่าลืมสวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือและป้องกันตนเองกันนะคะ**

แก้แล้ว

กระทรวงสาธารณสุข ไฟเขียว ปลดล็อกยาสมุนไพร – เครื่องสำอางกัญชา กัญชง

     สิ้นสุดการรอคอย กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ 5 ฉบับ ปลดล็อกเครื่องสำอางกัญชา-กัญชง พร้อมขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร คุมเข้มฉลากผลิตภัณฑ์

เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน และส่งเสริมการใช้กัญชา กัญชง ในเครื่องสำอาง และขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติ ด้านสมุนไพร ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศ อนุญาตการกัญชา-กัญชง ในเครื่องสำอาง และขึ้นทะเบียนยาสมุนไพร จำนวน 5 ฉบับ โดยมีใจความสำคัญดังนี้

ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ. 2564 ระบุอนุญาตให้ใช้ยาน้ำมันกัญชาที่ผลิตจากช่อดอก ซึ่งยามี delta-9- tetrahydrocannabinol (THC) 2.0 mg/ml ยาน้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี Cannabidiol (CBD) 100 mg/ml. และมีdelta-9-tetrahydrocannabinol (THC) ในอัตราส่วนที่ CBD : THC มากกว่าหรือเท่ากับ 20:1 และยาน้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี Delta-9 tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) ในอัตราส่วน 1:1 เพื่อรักษาเสริมในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือ มีอาการปวดในระดับปานกลางถึงรุนแรง ที่รักษาด้วยยามาตรฐานไม่ได้หรือไม่ได้ผล ซึ่งสั่งใช้ยาโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแผนปัจจุบันที่ผ่านการอบรม หลักสูตรการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองส่วนยาน้ำมันสารสกัดกัญชาที่มี Delta-9- tetrahydrocannabinol (THC) ไม่เกิน 0.5 mg/drop สามารถใช้รักษาเสริมหรือรวบรวมกับการรักษาตามมาตรฐานในการรักษาภาวะคลื่นไส้ อาเจียนจากเคมีบำบัด และใช้รักษาเสริมในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือ
มีอาการปวดในระดับปานกลางถึงรุนแรง ที่รักษาด้วยยามาตรฐานไม่ได้หรือไม่ได้ผล ให้สั่งใช้ยาโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแผนปัจจุบันที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการ ใช้กัญชาทางการแพทย์ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรอง ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออลจากกัญชา และกัญชงในเครื่องสสำอาง พ.ศ. 2564 ระบุส่วนประกอบที่ได้จากการสกัดกัญชาหรือกัญชง และต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก และห้ามใช้สารแคนนาบิไดออลที่ได้จากการสังเคราะห์ (Synthetic Cannabidiol) ภายใต้เงื่อนไข

  1. ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก หรือผลิตภัณฑ์ ที่ใช้บริเวณจุดซ่อนเร้น
  2. วัตถุดิบที่ใช้ต้องมีสาร THC ปนเปื้อนไม่เกิน 0.2%
  3. ในกรณีเครื่องสำอางพร้อมใช้รูปแบบน้ำมัน หรือ Soft Gelatin Capsules จะต้องมีสาร THC ปนเปื้อน ไม่เกิน 0.001%

ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง ฉลากของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออลจากกัญชา และกัญชง พ.ศ. 2564 ระบุให้ผู้ผลิตเพื่อขาย หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางที่มีสารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล จากกัญชา และกัญชงเป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางจัดทำฉลากให้สอดคล้องกับประกาศ คณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง ฉลากของเครื่องสำอาง พ.ศ. 2562 โดยต้องแสดงคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่ออนามัยของบุคคล หรือข้อความเพื่อคุ้มครอง ผู้บริโภค (ถ้ามี) และหากมีสารใด ๆ ในสูตร ที่ต้องแสดงคำเตือนตามประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง ว่าด้วยเรื่องคำเตือนให้แสดงคำเตือนดังกล่าวด้วย และในกรณีคำเตือนซ้ำ ให้แสดงข้อความตามบัญชี แนบท้ายนอกจากนี้ผู้ผลิตเพื่อขาย หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางที่มีสารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล จากกัญชา และกัญชงเป็นส่วนผสมต้องแสดงความเข้มข้น ของสารแคนนาบิไดออล ในฉลากเป็นร้อยละโดยน้ำหนัก (Weight by Weight) โดยมีบังคับข้อความดังต่อไปนี้

  1. ผลิตภัณฑ์ทุก ประเภท ยกเว้น ผลิตภัณฑ์รูปแบบ น้ำมัน หรือ รูปแบบ Soft Gelatin Capsules

คำเตือนที่ฉลาก :

ㆍผลิตภัณฑ์อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือการระคายเคืองได้
ㆍหากใช้แล้วมีความผิดปกติ ใด ๆ เกิดขึ้นต้องหยุดใช้ และปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร

  1. ผลิตภัณฑ์รูปแบบ น้ำมัน หรือ รูปแบบ Soft Gelatin Capsules

คำเตือนที่ฉลาก :

ㆍห้ามรับประทาน
ㆍผลิตภัณฑ์อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือการระคายเคืองได้ หากใช้แล้วมีความผิดปกติ ใด ๆ เกิดขึ้นต้องหยุดใช้ และปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้ส่วนของกัญชงในเครื่องสำอาง พ.ศ. 2564 ระบุเงื่อนไขสำคัญ คือ กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชงและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ที่นำมาใช้จะต้องไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนักทั้งนี้ ส่วนของกัญชงต้องทำให้แห้งแล้ว และต้องใช้ในวัตถุประสงค์ทางเครื่องสำอางเท่านั้น และห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก หรือผลิตภัณฑ์ ที่ใช้บริเวณจุดซ่อนเร้น ในกรณีเครื่องสำอางพร้อมใช้จะต้องมีสาร THC ปนเปื้อนไม่เกิน 0.2% ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง การแสดงคำเตือนที่ฉลากของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของส่วนของกัญชง พ.ศ. 2564 ผู้ผลิตเพื่อขาย หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางที่มีส่วนของกัญชงเป็นส่วนผสม ในการผลิตเครื่องสำอาง ต้องแสดงคำเตือนตามที่ระบุ คือ

ㆍผลิตภัณฑ์อาจก่อให้เกิด การแพ้หรือการระคายเคืองได้
ㆍหากใช้แล้วมีความผิดปกติ ใด ๆ เกิดขึ้น ต้องหยุดใช้ และปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร

UPDATE กฎหมายกัญชา-กัญชง ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 2021

รายละเอียดกัญชา
https://www.thaipost.net/main/detail/103322
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/105/T_0001.PDF

รายละเอียดกัญชง
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/105/T_0002.PDF

 

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.thansettakij.com/content/business/480391?as=

1

How to ดูแลผิวช่วงหน้าฝน

ปัญหาผิวหน้าฝน

1. มลพิษจากลม ฝน
2. ความชื้น
3. เชื้อรา แบคทีเรีย
4. ฝุ่น ควัน

แหล่งที่มา : https://1th.me/2GgUA

ปัญหาผิวหน้าฝน

1. สิวอุดตัน
2. สิวเสี้ยน
3. ผิวหนังอักเสบ
4. จุดด่างดำ

4 เคล็ดลับการดูแลผิว

1. ล้างเมคอัพให้สะอาด
เลือกโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวที่เป็นสิวง่ายและล้างสะอาดได้อย่างหมดจด เนื่องจากช่วงหน้าฝนเครื่องสำอางที่กันน้ำจะล้างออกค่อนข้างยากหากล้างหน้าไม่สะอาด อาจก่อให้เกิดสิวอุดตันได้สามารถใช้แผ่นทำความสะอาดเมคอัพก่อนล้างหน้าด้วยโฟมอีกครั้งเพื่อจะได้มั่นใจว่าผิวสะอาด

2. หลีกเลี่ยงแสงแดด
ทากันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพราะรังสี UV มีอยู่ในทุกที่ ไม่ว่าจะสภาพอากาศแบบไหน ครีมกันแดดจึงนับเป็น Item สำคัญในหน้าฝนควรเลือกครีมกันแดดที่เนื้อเบาบางป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ที่สำคัญที่สุดคือต้องกันน้ำด้วย

3. พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนมีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพร่างกายได้กำจัดอนุมูลอิสระและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอรวมถึงซ่อมแซมผิวหนังส่วนที่เสียหาย สร้างคอลลาเจนที่ถูกทำลายและผลัดเซลล์ผิวใหม่มาแทนที่

4. ผมเปียกต้องรีบสระ
เนื่องจากควันพิษและมลภาวะที่รวมมากับน้ำฝนเป็นสิ่งสกปรกหากตากฝนมาต้องรีบอาบน้ำสระผมทันทีเพื่อเป็นการชำระสิ่งสกปรกจากร่างกายและบำรุงเส้นผมที่เผชิญมลภาวะด้วยวิตามินสำหรับเส้นผมที่ฟื้นฟูเส้นผมหยาบกระด้าง แห้งเสีย ให้กลับมามีสุขภาพดี

บทความ6

วิธีเก็บรักษาเครื่องสำอางในหน้าร้อน

1. เก็บในที่แห้ง และให้ห่างจากแสงแดด เครื่องสำอางประเภทที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม เป็นผง หรือเป็นแท่ง ควรต้องเก็บในที่แห้ง และห้ามโดนแสงแดดโดยตรง แต่ไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น เนื่องจากเครื่องสำอางประเภทที่มีน้ำมันผสมอยู่ หากอยู่ในที่ร้อน หรือเย็นเกินไปจะส่งผลให้เสื่อมสภาพเร็วได้ สรุปคือ เครื่องสำอางประเภทที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม เป็นผง หรือเป็นแท่ง ควรเก็บไว้ในที่แห้ง อุณหภูมิปกติและไม่โดนแสงแดด

2. สกินแคร์แช่ตู้เย็นได้เครื่องสำอางบางชนิดที่สามารถแช่ตู้เย็นได้ เช่น เครื่องสำอางประเภทสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ โทนเนอร์ เซรั่ม หรือมาส์กเพราะถ้าเราเอาไปแช่ตู้เย็นก่อนใช้ เมื่อเราเอามาใช้ก็จะให้ความสดชื่นกับผิว รวมถึงสินค้าประเภทน้ำหอมที่จะช่วยยืดอายุกลิ่นน้ำหอมให้ติดทนนานได้อีกด้วย

3. ปิดฝาให้แน่นทุกครั้งหลังใช้เสร็จ ควรทำทุกครั้งหลังใช้เสร็จเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ทุกครั้ง เพราะการปิดฝาเครื่องสำอางให้สนิทเป็นการป้องการฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ หรือแม้แต่อากาศเข้าไปโดนตัวเนื้อเครื่องสำอาง จะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

4. หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า
ในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ ควรหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า เช่น บลัชออน ไม้พายตักครีม เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ต้องสัมผัสตัวเนื้อเครื่องสำอางโดยตรง หากว่าไม่สะอาดก็จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

5. ติดวันหมดอายุบนผลิตภัณฑ์
เขียนวันหมดอายุใส่สติ๊กเกอร์แปะเอาไว้บนผลิตภัณฑ์ นอกจากจะรู้ว่าอะไรต้องรีบใช้ก่อนหมดอายุแล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เอาของหมดอายุมาใช้เสี่ยงให้หน้าพังอีกด้วย

แหล่งที่มา : https://1th.me/kGjKc

บทความ5

การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับผิวแต่ละประเภท

การเลือกใช้ สกินแคร์ Skincare ที่เหมาะกับตัวเองเพื่อผลลัพธ์ให้ผิวดูกระจ่างใสสุขภาพดี หลังจากเช็คสภาพผิวตัวเองแล้วก็ต้องมารู้จักกับประเภทสกินแคร์สำหรับผิวแต่ละประเภท เพื่อเลือกสกินแคร์ที่ ‘ใช่’ ที่สุดสำหรับคุณกันเลย

– เนื้อครีม (Cream) –
สกินแคร์เนื้อครีม เป็นประเภทที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด มีเนื้อสัมผัสเข้มข้นสุด ใช้เวลานานกว่าจะซึมเข้าผิว เนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำมันและน้ำผสมกันอยู่ จึงให้ความชุ่มชื้นมาก เหมาะกับคนที่มีผิวแห้งหรือผิวธรรมดา สำหรับผิวผสมให้เลือกทาเฉพาะบริเวณใบหน้าที่มีผิวแห้ง

– เนื้อโลชั่น (Lotion) –

นอกจากโลชั่นบำรุงผิวกายแล้วยังมีโลชั่นสำหรับผิวรุงผิวหน้าอีกด้วย บางแบรนด์อาจเรียกเนื้อผลิตภัณฑ์นี้ว่า ฟลูอิด (Fluid) ความเข้มข้นรองลงมาจากเนื้อครีม สัมผัสเหลวกว่า เนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำจะมากกว่าในเนื้อครีม จึงไม่ทำให้ผิวมันจนเกินไป เหมาะกับคนสภาพผิวธรรมดาและผิวผสม

– เจล (Gel) –
เจลจะมีเนื้อสัมผัสบางเบา ไม่เหนอะหนะ รู้สึกเย็นเวลาเจลสัมผัสลงผิว เพราะมีส่วนประกอบของน้ำเป็นหลัก ในขณะที่มีส่วนประกอบของน้ำมันน้อยหรือไม่มีอยู่เลย เป็น Oil-free แต่ไม่ค่อยให้ความชุ่มชื้น จึงเหมาะกับคนผิวมัน หรือคนผิวแพ้ง่าย

– เซรั่ม (Serum)  –

เซรั่ม มีเนื้อสัมผัสบางเบา ซึมเข้าสู่ผิวง่าย เป็น Oil-Based มีความเข้มข้นของตัว active ingredients มาก จึงบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกถึงผิวชั้นใน เหมาะกับคนผิวแห้งจนถึงผิวผสมที่อยากฟื้นฟูสภาพผิวแบบเร็วๆ แต่ควรจะใช้คู่กับเนื้อผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น เช่น ครีมหรือเจล เพื่อบำรุงผิวชั้นนอกด้วย

– เอสเซนส์ (Essence) –

เอสเซนส์เป็นตัวบำรุงผิวชั้นในเช่นเดียวกับเซรั่ม จึงต้องเลือกใช้เพียงตัวเดียว มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใสๆ เพราะเป็น Water-Based จึงทำให้เอสเซนส์ซึมเข้าสู่ผิวเร็วมาก ไม่เหนอะหนะผิว บางแบรนด์ที่เรียกผลิตภัณฑ์ว่า น้ำตบ ก็คือ เนื้อผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เหมาะกับคนผิวผสมจนถึงผิวมันและผิวบอบบาง แพ้ง่าย

แหล่งที่มา : https://1th.me/NJUmP

บทความ14

Day Cream และ Sunscreen แตกต่างกันอย่างไร?

เคยสงสัยไหมว่า Day Cream กับ Sunscreen มีความแตกต่างกันอย่างไร?
     Day Cream เป็นครีมบำรุงผิวสำหรับทากลางวัน มีสารบำรุงผิวรวมทั้งผสมสารกันแดดสามารถป้องกันผิวจากแสงแดดได้ แต่ทำไมยังต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ อยู่?

ค่า PA และ SPF หน้าฉลากผลิตภัณฑ์บอกอะไร?
     SPF (Sun Protection Factor) เป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพในการป้องกันผิว จากรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดผิวไหม้แดด โดยคิดจากจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวสามารถทนต่อ รังสีอัลตราไวโอเลตได้หลังจากทาครีมกันแดด โดยปกติผิวของเราจะทนแสงแดดได้ประมาณ 30 นาที เช่น หากทากันแดดที่มี SPF30 ก็จะทำให้ผิวทน รังสี UVB ได้นานขึ้น 30 เท่า คิดเป็น 900 นาที หรือ 15 ชั่วโมง

PA (Protection grade of UVA)
     ค่า PA เป็นค่าบ่งบอกประสิทธิภาพในการป้องกัน รังสี UVA ของผลิตภัณฑ์กันแดด แทนค่าด้วยสัญลักษณ์ + ซึ่งรังสี UVA จะทำร้ายผิวให้เกิดริ้วรอยแก่กว่าวัยเกิดจุดด่างดำ

  • PA+ ป้องกันรังสี UVA ได้ 1-4 เท่าของผิวปกติ
  • PA++ ป้องกันรังสี UVA ได้ 4-8 เท่าของผิวปกติ
  • PA+++ ป้องกันรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า
  • PA++++ ป้องกันรังสี UVA ได้ 16 เท่าขึ้นไป

     Day Cream เน้นบำรุงผิว ส่วนมากมีค่า SPF อยู่ที่ 15-25 PA ++ ทำให้มีประสิทธิภาพกันแดดได้น้อยกว่า เหมาะกับการทาในชีวิตประจำวันทั่วไปในที่ร่ม Sunscreen เน้นป้องกันแสงแดดโดยเฉพาะ มีค่า SPF และ PA สูงกว่า ปัจจุบันนิยมใช้ค่า SPF อยู่ที่ 50 ค่า PA++++ สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB จากแสงแดด จึงต้องทาเป็นลำดับสุดท้ายอีกครั้งก่อนออกแดดกลางแจ้ง

แหล่งที่มา : https://1th.me/WBzqu

บทความ7

10 สาร WHITENING มาแรงในปี 2020

Niacin amide หรือวิตามินบี 3 อยู่ในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (B-Complex)
      เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว สามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่ช่วยลดริ้วรอยและรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ช่วยลดอาการแดงและอาการระคายเคืองบนผิว ไปจนถึงช่วยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ที่ช่วยให้ผิวกระชับและชุ่มชื้น ซึ่งจะส่งผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมที่ช่วยกระชับรูขุมขนและคุมความมันบนผิว จึงเหมาะเป็นพิเศษสำหรับคนที่มีผิวมัน เป็นส่วนผสมที่เข้าได้กับทุกสภาพผิว

Thiamidol Aminopyridyl-thiazole inhibitor
      ไทอามิดอล หรือชื่อทางเคมีว่า Isobutylamido thiazolyl resorcinol จัดเป็นสารไวท์เทนนิ่งในกลุ่มอนุพันธ์ Resorcino (ถูกคิดค้นโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาไบเออร์สด๊อรฟ เอจีเยอรมนี ได้รับการจดสิทธิบัตรและตีพิมพ์ลงในวารสาร JID หรือ Journal of Investigative Dermatology (2018) ซึ่งเป็นวารสารที่แพทย์ผิวหนังทั่วโลกให้การยอมรับ พิสูจน์แล้วว่า ไทอามิดอล (THIAMIDOLTM) สามารถลงลึกในชั้นผิว ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดจุดด่างดำ

Vitamin C
      วิตามินซีชนิด L-Ascorbic Acid ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้เลย เนื่องจากเป็นวิตามินซีธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากวิตามินซีอนุพันธ์อื่นๆ สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว และชัดเจน มากกว่าวิตามินซีอนุพันธ์อื่นๆ มีประสิทธิภาพทั้งในด้าน Whitening ให้ผิวขาว และด้านลดอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิวสูง หากอยู่ในรูปแบบที่ถูกต้อง และมีความเสถียรที่เพียงพอ

Arbutin
      อัลฟ่าอาร์บูติน สังเคราะห์ด้วยวิธี Biosynthetic ทำหน้าที่ปรับให้ผิวกระจ่างใส และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ (Even-tone) โดยเหมาะสำหรับผิวทุกประเภท ปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนสารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) มีประสิทธิภาพดีกว่า แต่ไม่นิยมใช้แพร่หลายเนื่องจากราคาสูงกว่าสารไฮโดรควิโนนมาก

Tranexamic Acid
      ทราเนซามิค แอซิด ทำหน้าที่ให้ผิวกระจ่างใส ลดการก่อตัวของเม็ดสี Melanin เหมาะสำหรับการใช้แก้ปัญหาฝ้า จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อใช้สำหรับปรับผิวให้กระจ่างใส ในกรณีที่ผิวคล้ำ หรือเป็นฝ้า โดยมีสาเหตุจากแสงแดด

AHA (Glycolic acid)
      AHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกจากชั้นผิวหนัง และเผยผิวที่
มีสุขภาพดีออกมา การใช้ AHA ที่มีความเข้มข้นสูงและใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไป ด้วยการกระตุ้นการเกิดใหม่ของคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวนุ่มและริ้วรอยต่าง ๆ ดูลดเลือนลง การใช้ AHA ที่มีความเข้มข้นสูง ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ

Licorice Extract
      สารสกัดจากรากชะเอมเทศ ช่วยลดการผลิต และส่งผ่านเม็ดสีเมลานินมาที่ผิวชั้นบน จึงทำให้ผิวแลดูขาวกระจ่างใสขึ้น ลดจุดด่างดำ รอยดำรอยแดงจากสิว ลดฝ้า กระ ได้อย่างปลอดภัย

Kojic acid
      กรดโกจิกสกัดจากการบ่มของข้าวมอลส์ มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีช่วยให้ผิวไม่คล้ำ เหมาะสำหรับใช้ร่วมกับ Skin-whitening ชนิดอื่น มีความคงตัวสูง เมื่อเทียบกับ Kojic Acid ชนิดธรรมดา

Azelaic acid
      Azelaic Acid อยู่ในรูป Potassium azeloyl diglycinate ให้ผิวกระจ่างใสลดรอยดำ ลดความมันบนผิว ควบคุมการสร้างน้ำมันของรูขุมขน ลดสิวอุดตัน มีประสิทธิภาพในการปรับให้ผิวกระจ่างใส

Mulberry
      สารสกัดจากมัลเบอร์รี่หรือลูกหม่อน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเกี่ยวข้องในขบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า รวมทั้ง ฝ้า กระ และจุดด่างดำให้จางลงอย่างเห็นได้ชัด ป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ลดการอักเสบ ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เผยผิวใหม่ที่สุขภาพดี

แหล่งที่มา : https://1th.me/3RJ3U

บทความ13

ลิปสติกมีกี่ประเภท และมีความแตกต่างกันอย่างไร?

       ในปัจจุบันลิปสติกเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้หญิง ทางเราจะจำแนกประเภทของลิปสติกพร้อมด้วยวิธีการเลือกใช้เพื่อให้คุณเลือกลิปสติกได้ตรงตามความต้องการ ใช้แล้วสวยเหมาะกับตัวเองมากที่สุดลิปสติกมีหลายประเภท แบ่งออกเป็น 10 ประเภทดังนี้

1. Matte

ลิปเนื้อแมทมีความเข้มข้นของสีมาก ทาแล้วติดทนนาน แต่ไม่มันวาวเหมือนกับลิปประเภทอื่น ด้วยสีสันที่สวยงามและเด่นชัด จึงทำให้ลิปสติกประเภทนี้ได้รับความนิยมสูง โดยมีการปรับเปลี่ยนเนื้อให้ไม่ตกร่อง สบายริมฝีปากมากขึ้น เรียกว่า Velvet Matte หรือลิปเนื้อกำมะหยี่

2. Frost

เป็นลิปที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์ จึงทำให้มีประกายแวววาวสวยงาม เมื่อทาลงบนริมฝีปาก จะทำให้ดูเปล่งประกายและสดใสมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีริมฝีปากบางเป็นอย่างมาก ทั้งนี้สำหรับใครที่อยากจะให้ริมฝีปากดูเปล่งประกาย

3. Gloss

ลิปสติกประเภทนี้ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเอาใจสาวๆ ที่ชอบความมันวาวโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอวบอิ่มให้กับริมฝีปากได้เป็นอย่างดี แถมทาแล้วเนียนกริบ ไม่มีปัญหาปากแห้งแตกเป็นร่อง หรือเป็นขุย

4. Metallic

เนื้อลิปสติกแบบเมทัลลิก มีความเข้มข้นของสี และมีประกายของเนื้อมุกทำให้ริมฝีปากแวววาว แต่ไม่มันเหมือนเนื้อกลอส ทำให้ริมฝีปากสวยดูอวบอิ่มแต่ไม่มันวาว

5. Cream

ลิปประเภทครีมที่เหมาะกับสาวๆ ที่ที่มีริมฝีปากสวยได้รูปมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะทาอย่างไรก็ดูสวย พร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่นในเรื่องของการติดทนนาน และสีสันที่ชัดเจน ทำให้ทาแล้วสวย ไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง

6. Lip Liner

ลิปประเภทนี้ใช้เพื่อการเขียนขอบปากโดยเฉพาะ โดยจะช่วยเน้นให้เรียวปากดูคมชัดมากขึ้น และทาลิปสติกได้ง่ายกว่าเดิม โดยไม่ต้องกลัวว่าลิปจะเลอะออกมานอกริมฝีปาก

7. Sheer/Satin

ลิปเนื้อเชียร์และเนื้อซาตินจะมีสีสันที่บางเบา ไม่เข้มเหมือนกับเนื้อครีม แต่ทาแล้วดูสวย และสามารถทาทับได้ตามต้องการโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นคราบ เหมาะกับสาวๆที่ชอบความสวยอย่างเป็นธรรมชาติ

8. Liquid

อีกหนึ่งประเภทลิปสติกที่กำลังมาแรง และถูกใจสาวๆ เป็นที่สุด โดยจะมีลักษณะเนื้อเหลวแบบลิควิด และมีสีสันที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก ทาปุ๊บติดปั๊บ แถมติดทนนานอีกด้วย ใครที่ยังไม่เคยใช้ลิปประเภทนี้ ขอแนะนำให้ลองใช้ดูสักครั้ง แล้วคุณจะต้องชอบอย่างแน่นอน

9. Tint

สำหรับลิปทินท์ จะนิยมนำมาใช้เป็นไอเทมหลักคู่กับลิปกลอส เพราะเมื่อทาด้วยกันแล้วจะทำให้ริมฝีปากดูสวยโดดเด่น และเพิ่มเสน่ห์ให้กับสาวๆ ได้เป็นอย่างดี โดยจะนำลิปทินท์มาทาที่ริมฝีปากด้านใน และทาทับด้วยลิปกลอสให้ทั่วริมฝีปาก

10. Lip Balm

ลิปประเภทนี้จะเน้นเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ และแก้ปัญหาริมฝีปากแห้ง แตกเป็นขุยได้อย่างดี โดยช่วงหน้าหนาวจะนิยมนำมาใช้กันมาก เพื่อป้องกันริมฝีปากแห้งจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ที่สำคัญลิปบาล์มสามารถนำมาใช้กับลิปอะไรก็ได้ โดยทาลิปบาล์มก่อน แล้วจึงตามด้วยลิปประเภทอื่นนั่นเอง

แหล่งที่มา : https://1th.me/NLwy4

บทความ8

ความแตกต่างระหว่างอายไลเนอร์ประเภทต่าง ๆ

      อายไลเนอร์มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีข้อดีอย่างไรและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง? วันนี้ทางไอคัลเลอร์จะนำเสนอรูปแบบและอายไลเนอร์ทั้งหมดที่เราเชี่ยวชาญ มีรายละเอียดดังนี้

1. Gel Liner Pencil

      หาซื้อได้ง่ายตามร้านเครื่องสำอางทั่วไปมีหลากหลายสีให้เลือกใช้ เขียนง่าย เนื่องจากเป็นเนื้อเจลในรูปแบบแท่งดินสอ เหมาะสำหรับการเขียนขอบตาด้านใน เกลี่ยง่ายสำหรับการแต่งตาแบบสโมกกี้อาย

2. Dip Eyeliner

      เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเส้นไลเนอร์แบบแคทอายได้เส้นอายไลเนอร์ที่หนา เหมาะสำหรับคนตาชั้นเดียวกรีดง่าย แห้งไว สีดำสนิทติดทนนาน

3. Eyeliner Pen

      ได้เส้นไลเนอร์ที่บาง แต่คม เหมาะสำหรับการแต่งตาแบบธรรมชาติเหมาะกับผู้ที่เริ่มต้นกรีดอายไลเนอร์ ทำให้ขนตาดูหนาขึ้นได้ล้างออกง่ายได้ง่ายด้วย Remover เนื่องจากเป็นแผ่นฟิล์ม

4. Cream Gel Liner

แหล่งที่มา : https://1th.me/RI03u